เราชอบปักกิ่งนะ, Frozen China 1

เราชอบปักกิ่ง และเราชอบเมืองจีน

เก้าในสิบคนตกใจว่าเราชอบอะไรปักกิ่ง อีกหนึ่งคนเฉยๆ – อาจจะไม่ทันฟัง

อาจจะเกี่ยวด้วยที่ว่าเรามีเพื่อนที่เรียนอยู่ปักกิ่งพาเที่ยวซะปรุเลย แต่ตอนที่เที่ยวคนเดียวบางวัน เราก็ยังคงชอบปักกิ่งอยู่ดี

ปักกิ่งมีความดิบในตัวคน ความดิบในตัวเมือง และความดิบในวิถีของผู้คน

ถ้าจะพูดถึงปักกิ่ง สิ่งแรกที่เรานึกถึงตอนนี้คือความดิบของปักกิ่ง สำหรับคนที่เที่ยวเอเชียแถบนั้นมาหลายประเทศแล้ว คนปักกิ่งติดอันดับความเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเมืองใหญ่ แต่ปักกิ่งเหนือกว่าไปอีกขั้นโดยการมองเมินโดยสิ้นเชิง เราเคยคิดขำๆ ว่าเทียบกับตอนอยู่ไต้หวันที่เรายืนงงหน้าตู้ไปรษณีย์แล้วมีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ถ้าเป็นที่ปักกิ่ง ต่อให้เรายืนงงทั้งวันก็ไม่มีใครเข้ามาถามแน่ๆ (ฮา)

การที่เราโดนเมินจากคนปักกิ่งไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบ ความจริงแล้วตรงนั้นแหละที่ทำให้เราชอบปักกิ่ง ทุกคนไม่ใส่ใจใคร เราสามารถกลมกลืนไปกับผู้คนได้อย่างเต็มที่ เราไม่ใช่คนแปลกถิ่นที่ทุกคนรอบตัวดูออกว่ากำลังงุนงงและหลงทาง คนปักกิ่งมีทั้งคนเมืองที่ก้าวฉับๆ เดินเร็วแข่งกับเวลา เดินช้าไม่รีบร้อน และนักท่องเที่ยวจีนต่างเมืองอีกเพียบ เราเป็นแค่ใครไม่รู้อีกหนึ่งคนในเมืองนี้ อยากเป็นใครในปักกิ่งก็เลือกวิธีเดินได้เลย

พอไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนกับความแปลกแยก – เพราะทุกคนในเมืองใหญ่นี้มีความแปลกแยกจนไม่แปลกแยก – มนุษย์ตื่นสังคมอย่างเราก็วางใจที่ได้กลมกลืนกับเมืองอย่างแท้จริง

ถ้าจะพูดให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาอีกหน่อย ปักกิ่งคือเมืองหลวงของประเทศมหาอำนาจที่มีประวัติความยิ่งใหญ่มายาวนาน ปักกิ่งมีพระราชวังโอ่อ่าหรูหรา ปักกิ่งมีสวนสาธารณะใหญ่โตหลายมุมเมือง ปักกิ่งมีกำแพงเมืองจีนเกาะอยู่รอบนอกตามภูเขา ปักกิ่งมีตึกสูงเสียดฟ้าเต็มไปด้วยสีสัน รุ่งเรืองถึงขีดสุด อนุรักษ์วัฒนธรรมไว้เป็นอย่างดี และเต็มไปด้วยสัมผัสที่หลากหลาย นั่นคือสิ่งที่เราชอบอีกส่วนเกี่ยวกับปักกิ่ง


"กู้กงเป็นเสี้ยวหนึ่งของปักกิ่งเองนะ"

---------------------

การจะเที่ยวเมืองจีนให้สบายใจได้เราจะต้องมีจิตใจแข็งแกร่งในระดับหนึ่งและมีความไม่แคร์อะไรในระดับหนึ่ง อะไรที่เราวางใจคุ้นเคยมาเกือบทั้งชีวิตอย่างบริการกูเกิลมันใช้ไม่ได้ที่นี่ ควรทำความรู้จักกับไป่ตู้ไว้สักหน่อยก็ยังดี โชคดีที่เรารู้ภาษาจีนเท่าหางอึ่งแต่ยังจับมากระเดียดได้ พอโมเมค้นหาอะไรเป็น หัวใจเรามีภาษาจีนเท่างูเท่าปลาเป็นภูมิต้านทานนิดหน่อยแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือต่อให้เราจะไม่รู้ภาษาหรืออะไรเลยก็เถอะ จะทำอะไรก็ทำเลย เรายังยืนยันคำเดิมว่าคนจีนเขาไม่สนใจหรอก

ความลำบากหนึ่งประการที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามากคือไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ทุกคนก็จะพ่นภาษาจีนใส่เราประหนึ่งว่าเราเป็นคนจีน ซึ่ง – แหม – จะว่าเขาก็ไม่ได้ สืบสาวต้นตระกูลไปเราก็จีนแท้ๆ นี่เลย ดูจากหน้าแล้วใครๆ ก็คิดว่าเราคนจีนแน่ๆ พูดจีนได้แน่ๆ ก็เลยพ่นภาษาจีนมาโดยไม่ได้สนใจว่าเราจะเหวอแค่ไหน

มีเรื่องตลกอยู่สองเรื่องตอนที่มีคนพูดจีนใส่เรา ครั้งแรกคือตอนไปโผล่อยู่ที่พระราชวังต้องห้ามกู้กง (故宫) มีคนพยายามขายทัวร์ในกู้กงให้เรามาก แต่เป็นทัวร์ภาษาจีน แอบขำในใจว่าจ้างไปแล้วจะฟังออกได้ยังไงเล่า! ก็เลยเลือกที่จะเดินทำหูทวนลมหาทางเข้าไปเรื่อยๆ พี่แกก็ตามมาขายต่อเป็นห้านาที จนกระทั่งเราคิดว่าเราเดินผิดทางและเราคงต้องพึ่งพาแผนที่แล้ว บวกกับเริ่มรำคาญภาษาช้งเช้งที่หูไม่กระดิกเลยหันไปบอกเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่เอาๆ ฟังไม่ออกหรอกน่า คุณเขาก็ยังจะพ่นภาษาจีนใส่ต่อไปจนต้องย้ำไปอีกสองรอบถึงจะมีท่าทีเอะใจบ้าง แล้วก็ถามเราเป็นภาษาจีนว่า อ้าวไม่ใช่คนจีนเหรอ ฟังไม่ออกเหรอ ซึ่งประโยคนี้เราดันฟังออก ปากก็ไวกว่าสมองตอบไปเป็นภาษาจีนเลยว่า ไม่ใช่คนจีน ฟังไม่ออก เท่านั้นแหละ ชะงักกันไปทั้งคู่ เราเลยเดินหนีมาซะเลย แต่ทางที่เดินมาน่ะมันผิดทาง! แต่ไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้ากับพี่เขาแล้ว ก็เลยจำใจเดินไกลขึ้นอีกนิดไปหาทางม้าลายข้างหน้าเพื่อข้ามถนนเดินย้อนกลับไป... ขอโทษนะคะ ไม่ได้กวนตีนจริงๆ...

อีกเรื่องนี่เกิดขึ้นหลายครั้งมากตลอดเวลาที่อยู่ในปักกิ่ง ทั้งตอนเดินเล่นอยู่ริมถนน ตอนขึ้นรถไฟ และตอนไปมหา’ลัยของเพื่อน คือมีคนจีนเปิดแผนที่ในมือถือเข้ามาถามทาง โธ่ พี่คะ แค่เปิดปากมาคำแรกหนูก็ฟังไม่ออกแล้วค่ะ ได้แต่ sorry, sorry โบกไม้โบกมือใส่แล้วทำหน้าหลงทางยิ่งกว่าใส่

---------------------

ปักกิ่งใหญ่ ใหญ่มาก เช่นเดียวกับทุกอย่างในประเทศนี้ที่ต้องรองรับผู้คนจำนวนมหาศาล ปักกิ่งมีถนนวงแหวนหกเส้น มีถนนหกเลนแปดเลนอยู่กลางเมือง เส้นทางเดินรถไฟใต้ดินสิบเก้าสาย บางสถานีใหญ่เบ้อเร่อแค่เดินไปเปลี่ยนสายก็เหนื่อยได้แล้ว แถมยังต้องทำราวกั้นบังคับทางเดินวนไปวนมาเพื่อให้ต่อแถวได้ยาวขึ้นอีกแน่ะ แล้วอัตราความหนาแน่นของห้างที่ถนนหวังฝูจิ่งน่ะยิ่งกว่าเอาห้างจากสถานีสยามยาวไปถึงเพลินจิตมารวมกันอีกแน่ะ แถมยังมีคนเดินทุกห้าง

ยิ่งวัดวังยิ่งแล้วใหญ่ กู้กงใหญ่มากขนาดที่เดินด้านในสี่ชั่วโมงยังไม่ทั่ว หอสักการะฟ้าเทียนถาน (天壇) แค่ลานเดียวน่าจะจุบ้านเราได้สักสองหลังเศษ อี๋เหอหยวน (頤和園) ทำให้เราสงสัยว่าเป็นแค่วังฤดูร้อนทำไมต้องเวอร์วังอลังการขนาดนี้ด้วย และเดินหลงทิศหลงทางแถวเทียนอันเหมินสู่ถนนเฉียนเหมินก็ไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไหร่

แต่สิ่งที่ทำให้เราตระหนักขึ้นมาว่าปักกิ่งใหญ่โตเกินกว่าสองเท้าเราไปจริงๆ ก็คือตอนที่เราย่ามใจเดินจากนานหลัวกู่เซี่ยง (南锣鼓巷) เพราะอยากชมบรรยากาศตรอกซอกซอยบ้านคนโบราณอย่างหูท่ง (胡同) อยากเดินผ่านสวน อยากเห็นวิถีชีวิตของคนปักกิ่งระหว่างทางไปกู้กง แต่ที่ไปโผล่คือประตูทางออกตรงที่เจอคนมาพยายามขายทัวร์นั่นแหละ ลองเล็งจากแผนที่ดูแล้วคิดว่าเดินเลาะถนนไปหาประตูทางเข้าก็คงไม่เท่าไหร่หรอก ก็เลยตัดสินใจเดินชมวิวต่ออีกหน่อย

คิดผิดมหันต์

วันนั้นอากาศราวศูนย์องศาฯ ลมไม่แรงมากแต่สำหรับคนขี้หนาวอย่างเราก็พาให้สั่นกึกๆ อยู่ใต้เสื้อหนาๆ สามชั้นได้อยู่ และที่เลวร้ายที่สุดคือเราใส่รองเท้าบูตมีส้น... ยิ่งเดินเท้ายิ่งไถลลงมาด้านหน้าชนกับหัวรองเท้าทำให้เล็บจิกเข้าเนื้อของนิ้วข้างๆ แต่คิดว่ายังไหว เดินอีกไม่ไกลเดี๋ยวก็คงถึงแล้ว

เดี๋ยวที่ว่านั้นผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง... ครึ่งรอบของกู้กงมีระยะทางรวมสองกิโลครึ่ง! สองกิโลเมตรกับอีกห้าร้อยเมตร! รวมระยะทางทั้งหมดจากที่พักคือราวหกกิโลเมตร ทั้งหนาว ทั้งเมื่อย ทั้งเจ็บเท้า เจอรูปท่านประธานเหมาหน้ากู้กงถึงกับอยากร้องไห้ ประเทศบ้านี่ใหญ่เกินไปแล้วนะคะ! แล้วก็สัญญากับตัวเองว่าอย่าทรมานตัวเองแบบนี้อีกเลย

แต่จริงๆ หลังจากนั้นก็ซ่าเดินจากย่านกลางคืนริมทะเลสาบโฮ่วไห่ (后海) กลับที่พักอยู่ดี ก็สองกิโลฯ กว่าๆ กำลังดี...ซะที่ไหนเล่า...

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถามว่าตอนนี้ตอนที่ไม่หนาวไม่เจ็บเท้าแล้วยังเลือกจะเดินอยู่ไหม เราคนที่นอนสบายๆ อยู่บนเตียงนุ่มๆ ก็คงเลือกตอบว่าเดิน เพราะสิ่งที่ได้เห็นระหว่างทางไม่ใช่สิ่งที่เราคนที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้จะมีโอกาสได้เห็นถ้าไม่เลือกทรมานตัวเองวันนั้น เราเจอคนพาหมามาเดินเล่นตอนเช้า เจอตลาดสด เจอร้านหนังสือที่ตั้งใจว่าจะเดินกลับมาดูถ้ามีโอกาส เจอแกลเลอรีเล็กๆ ข้างๆ กัน ได้แวะกินอาหารเช้าควบเที่ยงที่ไม่อร่อยพักขาสักพัก ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเลยหรอกนะ

"ก็สบายๆ"

---------------------

โชคดีที่ปักกิ่งใหญ่มากพอจะมีมุมสงบ ก่อนที่จะต้องบอกลาปักกิ่งหนึ่งวัน เราไปเดินเล่นที่สวนเป๋ย์ไห่ (北海) สวนสาธารณะมีภูเขาหิน ศาลาเก๋งจีน และทางเดินล้อมรอบบึงกว้างที่อยู่ตรงกลาง วันนั้นเป็นวันที่เพื่อนไม่ว่าง เราเหนื่อยเกินกว่าจะเริ่มวันด้วยการลุยไปไหนต่อไหนแล้ว เลยตั้งใจมาเดินเล่นเงียบๆ อากาศหนาวอย่างเคย หนาวจนโทรศัพท์กดไม่ติด ใช้งานได้มากที่สุดคราวละสิบวินาที ตอนนั้นเลยมีแค่เรา คุณลุงคุณป้าชาวจีน และเป็ดในบึง

อากาศหนาวมากจนไม่อยากเอามือออกมาจากกระเป๋า โทรศัพท์มือถือก็ใช้การไม่ได้ เราไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนั่งดูเป็ดอยู่ที่ริมน้ำ น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งเกือบหมดแล้ว ต้นไม้ใต้น้ำก็ถูกแช่แข็งไปด้วย มองคนให้อาหารเป็ด มองเป็ดบินมากินอาหาร เป็ดวิ่งมากินอาหาร เป็ดว่ายน้ำมากินอาหาร เป็ดทุกตัวจะพยายามไปให้ถึงอาหารให้เร็วที่สุด แต่เท้าเป็ดคงจะไม่ได้มีไว้ให้วิ่งบนน้ำแข็ง เป็ดตัวไหนทรงตัวไม่ดีก็วิ่งลื่นพรืดจนเกือบหลุดหัวเราะออกมา

หลังจากเจอคนวุ่นวายในประเทศจีนมาเก้าวันเต็มๆ ช่วงเวลาที่ได้นั่งอยู่คนเดียว ขำเป็ดอยู่คนเดียว สูดอากาศหนาวอยู่คนเดียวเป็นช่วงเวลาที่ตรึงเข้าไปอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย บางวินาทีก็ลุ้นเป็ด บางวินาทีก็นึกย้อนถึงเรื่องราวอะไรที่เคยเกิดขึ้น และบางวินาทีทุกอย่างก็เหมือนฟุ้งกระจาย...ลอยไปไม่คิดอะไรเลย

น่าจะเป็นระหว่างนั้นที่เราทบทวนได้ว่าเราชอบทริปนี้จริงๆ นั่นแหละ

"ไม่ใช่หมอก ไม่ใช่เลนส์มัว แต่นี่คือมลภาวะในปักกิ่งชนิดที่ควรสวมหน้ากากกันซอมบี้ทุกวันเพื่อสุขภาพ"

---------------------

ป.ล. เราเดินในสวนนี่ไม่ถึงครึ่งรอบแล้วเพื่อนก็โทรมา ความจริงสวนนี้กว้างมากและมีอะไรให้ดูอีกเยอะเลยแหละ
ป.ล. 2 แล้วหลังจากนั้นก็ไปกินเป็ดปักกิ่งกับเพื่อนต่อ
ป.ล. 3 มีเรื่องราวเกี่ยวกับแต่ละสถานที่อยากจะมานึกย้อนและเขียนถึงอีกสองสามที่เลยแฮะ ถ้ามีโอกาสและไม่ขี้เกียจเราคงได้เขียนอีกนะ

Comments

Popular posts from this blog

เรื่องเล่าตอนทำพาสปอร์ตหาย และฮาวทูทำยังไงดี Missing Passport and How To Find It (Hint: you don’t)

Tokyo Summer Night คืนหนึ่งคืนนั้นในฤดูร้อน

พกเมอร์ฟีไปเที่ยวลั่วหยาง, Frozen China 2