เรื่องเล่าตอนทำพาสปอร์ตหาย และฮาวทูทำยังไงดี Missing Passport and How To Find It (Hint: you don’t)

เราทำพาสปอร์ตหายที่โซล


อนึ่ง เท้าความก่อนว่านี่คือทริปลากยาวทริปเดียวกับทริปญี่ปุ่นที่พายุเข้าตอนก่อนนู้นเมื่อปี 2016 ดังนั้นจะว่าทริปนี้อาถรรพ์คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี


เอาเป็นว่า เราทำพาสปอร์ตหายที่โซล


(สาระอยู่ล่างสุด)


---------------------


ข้อหนึ่ง แจ้งความ!


ถ้าจะให้เล่าความเป็นมาเราก็จะเขินนิดนึง เลยขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด แต่เหตุการณ์นี้ให้ข้อคิดเราหนึ่งข้อ นั่นก็คือ โซจูสามขวดไม่ใช่เรื่องตลก และจบการย้อนอดีตเพียงเท่านี้ ตัดภาพมาอีกทีเป็นตอนพาสปอร์ตหายเลยแล้วกัน


ตื่นเช้ามาเรามีไฟลต์บินไปปักกิ่งต่อ ตะลีตะลานรวบของพร้อมไปสนามบิน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่จัดไว้หมดแล้วเตรียมออกเดินทาง เราก็ควานๆ คว้าๆ หยิบจับหยิบนับของที่ต้องใช้ โทรศัพท์–เช็ก กระเป๋าสตางค์ใบหลัก–ยังอยู่เพราะไม่ได้พกไป กระเป๋าสตางค์ใบเล็กแยก–เอ๊ะ... พาสปอร์ต—เอ๊ะ...


เอ๊ะ


ใช้เวลาประมาณสิบนาที วิ่งวุ่นทั่วห้อง คุ้ยกระเป๋าซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าความจริงจะซึมซาบเข้าทั่วตัว ว่าพาสปอร์ตหายแล้วแหละ


ตอนนั้นน่าจะมีเวลาตามหาราวๆ สี่ถึงห้าชั่วโมงถ้ายังมีหวังจะบินไปเที่ยว (เป็นความหวังที่เราในตอนนี้อยากโบกหัวสักที ติดเที่ยวมาก ยังจะหวัง!) อันดับแรกสุดที่คนปกติต้องทำและควรทำถ้าพาสปอร์ตหายก็คือแจ้งตำรวจ แจ้งตำรวจสถานีที่ใกล้กับที่คิดว่าทำหายที่สุด แจ้งตำรวจก่อนเป็นอันดับแรกเท่านั้น แล้วค่อยสติแตกได้เป็นลำดับถัดไป


แต่ตอนนั้นเราแจ้งเพื่อนก่อน ฮ่า – ก็ช่วยไม่ได้ คิดไม่ออก ส่งไลน์ไปหาแต่เช้าทั้งยังสมองชานิดๆ เรียบเรียงเรื่องราวในหัวอยู่ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป (เพื่อนคนเดิมกับตอนญี่ปุ่นคนนั้น มาบอกเราทีหลังว่า แค่เห็นข้อความส่งมาแต่เช้าก็กะไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องอีกแน่ๆ แง...)


เอาใหม่ ขอเรียงลำดับใหม่ อันดับแรกคือแจ้งตำรวจ อันดับศูนย์จุดห้าคือแจ้งเพื่อนก่อนก็ได้ ส่วนอันดับศูนย์คือตรวจให้แน่ใจว่าโทรศัพท์ไม่ได้หายไปด้วย และขอบคุณสิ่งใดก็ตามที่ทำให้โทรศัพท์ยังอยู่รอดปลอดภัยกับตัวเอง เราทำไปแล้วสองข้อ ดังนั้นต่อไปก็คือ ไปแจ้งความ (ซะที!)


เรานั่งแท็กซี่ไปสถานีตำรวจอิแทวอนเพราะเดาว่าทำหายแถวๆ อิแทวอน ภาษาอังกฤษคุณตำรวจถึงจะกระท่อนกระแท่นแต่แจ้งความสำเร็จ เราจำไม่ได้ว่าตอนนั้นได้ใบแจ้งความมาไหม หน้าตาเป็นยังไง แต่เดาว่าควรจะมีเพราะเราต้องเอาไปนั้นไปยื่นให้สถานทูตต่อไป ส่วนสิ่งที่จำได้ก็คือตำรวจเกาหลีกินโดนัทกันเป็นกล่องๆ จริงๆ สถานีตำรวจมีเจ้าหน้าที่เยอะมาก และเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องเราหล่อมาก


ใช่ ก็จำอะไรแบบนี้ได้แหละ...


---------------------


คำถามเงินล้านประจำวันนี้ แจ้งความเสร็จแล้วควรไปที่ไหนต่อ


ข้อสอง ไปสถานทูต


ความรู้ก่อนเข้าเรื่อง สถานกงสุลกับสถานทูตต่างกันยังไงนะ? เอาง่ายๆ ว่าในฐานะคนไทยที่ทำพาสปอร์ตหาย สามารถติดต่อเรื่องทำวีซ่ากลับไทยได้ทั้งสองที่ สถานทูตหรือชื่อเต็มๆ คือสถานเอกอัคราชทูตจะอยู่ตามเมืองหลวง ส่วนสถานกงสุลเหมือนเป็นหน่วยย่อยของสถานทูตอีกที จะเจอตามเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลวง หรือบางประเทศก็มีแต่สถานกงสุล จะห้อยท้ายด้วยใหญ่หรือจะกิตติมศักดิ์ก็ใช้ได้เหมือนกัน อาจจะมีรายละเอียดการทำงานที่ต่างกันระหว่างสองที่นี้ แต่ถ้าแค่ทำพาสปอร์ตหายในต่างประเทศและต้องการใบขาวสามทบกลับบ้าน ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นได้เลย


ด้วยความที่ไทยกับเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีต่อกัน ก็เลยมีสถานทูตใต้ในเกาหลีใต้ตั้งอยู่ในกรุงโซลด้วย และโชคดีมากๆ ที่สถานทูตนี้อยู่แถวอิแทวอน เรานั่งแท็กซี่จากสถานีตำรวจบึ่งไปสถานทูตเป็นอันดับต่อมา คุ้นๆ ว่าตอนไปถึงสถานทูตยังไม่เปิดเลย เช้าขนาดนั้นน่ะแหละ!


ยืนแกร่วๆ ง่วงๆ (แต่แต่งหน้าแล้วนะ พาสปอร์ตหายฉันก็จะไม่ยอมไม่มีคิ้ว) อยู่หน้าสถานทูตสักพักเขาก็เปิด เราเข้าไปตรงหน้าเคาน์เตอร์ เขินนิดๆ ตอนบอกว่า อ้อ พาสปอร์ตหายค่ะ... รายละเอียดขั้นตอนตรงนี้ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ไม่มีอะไรที่ต้องรู้เป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่น่ารักใจดีมากๆ บอกว่าเมื่อวานก็มีคนทำหายที่อิแทวอนเหมือนน้องเลย ฮ่า! (ตลกก็ได้!) 


เจ้าหน้าที่ให้นั่งรอสักพักก่อนจะเรียกเข้าไปในห้องข้างในอีกที บอกรายละเอียดว่าจะทำพาสปอร์ตใบขาวกลับไทยต้องใช้อะไรบ้าง ตามนี้ จดนะเผื่อเตรียมไปด้วยตอนไปต่างประเทศคราวหน้า – รูปถ่ายสองนิ้ว สองใบ, สำเนาบัตรประชาชน เป็นสแกนส่งเข้าอีเมลได้, สำเนาพาสปอร์ตเล่มที่หาย หรือถ้าไม่มีไม่แน่ใจว่าได้ไหม แต่ถ้าจำเลขพาสปอร์ตได้ก็ดีมาก อันนี้ก็ส่งเข้าอีเมลได้, ใบแจ้งความ


"พาสปอร์ตใบขาวสามทบหน้าตาแบบนี้ ขี้เกียจเซ็นเซอร์เลยไม่ได้ถ่ายด้านในให้ดู"


แล้วก็โชคดีอีกมากๆ ที่เรามีทุกอย่างเลย ใช่–แม้กระทั่งรูปถ่ายสองนิ้วสองใบ! สองใบพอดีเป๊ะด้วย! คนอะไรจะเตรียมตัวมาพร้อมทำพาสปอร์ตขาวขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว!


แต่พี่เจ้าหน้าที่เขาก็อยากให้ไปลองหาอีกทีดูก่อนระหว่างไปเตรียมเอกสาร หารู้ไม่ว่าพี่คะหนูมีเอกสารพร้อมวันนี้เลยนะ แต่ก็โอเค เชื่อเขา เราไปลองหาพาสปอร์ตดูก่อนก็ได้เผื่อเจอ


ตอนเดินออกมาก็ประมาณสิบโมงเกาหลีแปดโมงไทยพอดี ทีวีในสถานทูตเปิดเพลงชาติ รู้สึก feel like home แปลกๆ นิดๆ


---------------------


ข้อสองจุดห้า เขาให้มาหาก็มาหาก่อนก็ได้


ถามว่ายังหวังจะได้พาสปอร์ตคืนก่อนบินไหม แน่นอนว่ายังหวัง ก็มันยังเช้าอยู่เลยนี่นา ฝันไกลแต่ไปไม่ถึงปักกิ่ง


ก่อนอื่นเราต้องหาทางออกจากถนนที่เงียบกริบตอนเช้านี่ซะก่อน คือต่อให้มันใกล้อิแทวอน แต่มันก็ไกลสถานี และเรา ไม่-มี-เงิน-เลย-สัก-วอน! 


จุดหมายแรกของเราคือการเดินไปถนนใหญ่ตามหาดงธนาคารและตู้เอทีเอ็ม กลางเมืองอย่างนี้มันต้องมีสิน่า สุดท้ายเจอตึกที่มีธนาคารอยู่สองสามป้าย แต่อนิจจากดไปสองแล้วไม่ได้เลยสักตู้ โชคดีเล็กๆ อีกแล้วที่ตู้สุดท้ายกดได้ เออ รอดตายไปหนึ่งยกละ


ต่อไปก็หาทางไปเมโทร จำไม่ได้ว่าตอนนั้นไปทางไหน แต่เดินป๊อกแป๊กๆ ไปสักพักก็รู้สึกหลงทางและหาสถานีไม่เห็นเจอสักที ถนนก็ใหญ่ๆ งงๆ ทำหน้าเป็นเด็กหลงสักพักก็เจอคุณป้าท่าทางใจดีเป็นคนแรกและคนเดียวที่โผล่มาในครรลองสายตา พุ่งเข้าชาร์จทันที คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่คุณป้าใจดีมาก กวักมือเรียกให้เดินตามไปสักพักแล้วก็ชี้ๆ ทาง เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอสถานี แต่เป็นสถานีที่ไม่ได้ชื่ออิแทวอน สรุปว่าเดินหลงจริงๆ เดินไกลแล้วก็หลงแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วยนะ!


การตามหาพาสปอร์ตของเราเริ่มจากไล่สถาที่ที่ไปมาเมื่อคืนทั้งหมด ร้านที่เข้าและวิธีเดินทาง โชคดีเหลือเกินที่ประเทศเกาหลีนี้เป็นประเทศที่เจริญแล้ว ใช้ T-money จ่ายแท็กซี่ไปเมื่อคืนก็ตามได้ว่ารถคันไหนอู่ไหนใครขับ จัดแจงเตรียมโทรไปหาอู่รถทันที แต่เดี๋ยวก่อน เราพูดภาษาเกาหลีไม่ได้


ดังนั้นพอไปแจ้งตำรวจเสร็จแล้ว ลำดับต่อมาที่เราควรทำก็คือติดต่อหาคนรู้จักที่จะช่วยได้ทั้งหมด!


เราโชคดีได้รุ่นน้องและเพื่อนที่อยู่เกาหลีช่วยโทรไปหาแท็กซี่ให้พอดี แต่โชคร้ายที่คุณแท็กซี่วันนี้หยุดงาน และเมื่อคืนไม่มีการแจ้งเจอสิ่งของใดๆ ของผู้โดยสารทั้งสิ้น


เอาจริงๆ พอถึงตรงนี้เราก็ไม่หวังจะได้คืนแล้ว เพราะนอกจากพาสปอร์ตแล้วกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินสดอยู่สองแสนวอนก็หายไปพร้อมกันด้วย คือถ้าใครเจอสองสิ่งนี้ตกพร้อมกันแล้วตั้งใจจะแต๊บเงินไปก็ไม่มีทางจะแจ้งความเจอพาสปอร์ตหายหรอก 


พอชัดแล้วว่าคุณไม่ได้ไปต่อแน่ๆ เราก็ต้องลิสต์รายการที่ต้องจัดการทั้งหมด เพื่อนเราแจ้งโรงแรมแถวสนามบินที่ฝากกระเป๋าไว้ว่าขอฝากไว้ก่อนเดี๋ยวไปเอานะ ดังนั้นเรื่องนี้ตัดไปได้หนึ่ง ต่อไปคือแคนเซิลตั๋วบินไปปักกิ่งให้อย่างน้อยที่สุดยังขอภาษีสนามบินคืนได้ ต่อไปอีกคือข้อเท็จจริงที่ว่าเราต้องอยู่ที่นี่ต่ออย่างน้อยๆ หนึ่งวันและเรายังไม่มีโรงแรมสำหรับคืนนี้ ส่วนเสื้อผ้าโชคดีเหลือเกินที่ซักมาแล้วยกกระเป๋าหนึ่งรอบเพราะเตรียมตัวไปปักกิ่ง ตัดกังวลไปได้อีกหนึ่ง


แต่ตามหาแล้วก็ตามหาให้สุด เราย้อนทางเดิมไปจนครบ ขอดูกล้องวงจรปิดตลอดทางที่เดินกลับโรงแรมเมื่อคืน ทั้งทางเดินใต้ดิน ทั้งหน้าโรงแรม เจ้าหน้าที่ทุกคนใจดีมากแต่ก็ไม่เจออะไร มีเจ้าของบาร์ที่ขอไปดูก็โดนดุมาใส่ เหมือนเจ้าพ่อประมาณนั้น แต่สื่อสารได้ความว่าจะดูกล้องต้องไปเอาตำรวจมา เราก็พาซื่อเดินกลับไปหาตำรวจให้มาจริงๆ คุณตำรวจก็พาซื่อพอกัน เดินตามมาจริงๆ ด้วย


เป็นคุณตำรวจสองนาย ตำรวจสุดหล่อหนึ่งคนกับเพื่อนตำรวจของเขา (ลำเอียงอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆ กราบขออภัย) คุณตำรวจชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษสื่อสารงงงวยมาก แต่ก็คุยกันได้ใจความว่า อ้อ มาจากไทยเหรอ! (แทกุกๆ) เนี่ยเมื่อเมษาเขาไปสงกรานต์ที่ข้าวสารมาล่ะ! (อ่า...แต่หนูไม่ชอบสงกรานต์ค่ะพี่ อันโจอาเฮๆ)


สุดท้ายต่อให้พาพี่ตำรวจไปเขาก็ไม่ยอมให้ดูนะ ตอนนั้นว่า เอ๊อะ ไม่ดูก็ได้ช่างมันเหอะ กลับนะพี่ตำรวจ หิวข้าวแล้ว!


---------------------


ข้อไม่เกี่ยว หมวดพิเศษ น.หนู ที่ย่อมาจาก ไหนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นา ไปเที่ยวเถอะ


ปัญหาของพรุ่งนี้ให้เราในวันพรุ่งนี้จัดการ ในเมื่อพาสปอร์ตหาไม่ได้ก็ช่างมัน เราก็ไปเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่กลับเข้าเมืองมาอีกรอบ โรงแรมคราวนี้อยู่ข้างๆ มยองดง สบายแฮมาก ได้เช็กอินและอาบน้ำ (สักที เพราะเมื่อเช้าเลือกเขียนคิ้ว ไม่ได้เลือกอาบน้ำ...)


เรื่องที่ไม่ได้เล่าก่อนนี้เพราะไม่มีเวลาสนใจก็คือเมนส์มาตั้งแต่เช้า แต่ไม่มีเวลาได้ใส่ใจ คิดว่าช่างเป็นสถานการณ์ที่บัดซบสิ้นดี แต่ขอจัดการเรื่องอื่นก่อนนะ เข้าโรงแรมมาอันดับแรกก็คือนอนแช่อ่างอาบน้ำ อันดับที่สองก็คือซักผ้า ฮือ


พอสบายๆ ก็ชาร์จแบตฯ มือถือเตรียมตัวออกไปเผชิญโลกกว้างและรับประทานอาหารมื้อแรกของวัน ระหว่างนั่นก็วางแผนอนาคตต่อไปด้วย เรื่องที่ยังไม่ได้จัดการก็คือตั๋วกลับ คิดไปแล้วพบว่าแผนจะกลับบ้านได้เร็วที่สุดพบว่า อ้าว...จะต้องอยู่เกาหลีต่ออีกอย่างน้อยสามวันนี่หว่า และได้บินในวันที่สี่เป็นวันเผื่อๆ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์ สุดสัปดาห์สถานทูตไม่เปิด วันจันทร์ไปทำเรื่อง ได้บินแน่ๆ ก็วันอังคารนู่น สรุปว่ามีวันเที่ยวโซลเพิ่มขึ้นตั้งสี่วัน (รวมวันนี้) แน่ะ! จึงได้รบกวนคุณเพื่อนคนดีตอนต้นเรื่องคนเดิมให้ช่วยติดต่อสายการบินเปลี่ยนตั๋วกลับให้ที (ขอบคุณนะ...)


กำลังจะใช้คำว่าโชคดีอีกแล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่รูทกลับเดิมกับรูทใหม่ของเราอยู่ในโซนเดิม เปลี่ยนได้มีค่าธรรมเนียมแต่ไม่มีปัญหา ตรงนี้ถ้าใครต้องเปลี่ยนก็ลองโทรไปถามเงื่อนไขตั๋วก่อนนะ


พูดกันตามตรงก็จำไม่ได้ว่าวันนั้นตกลงได้กินอะไร แล้วได้ทำอะไรบ้าง เดาว่าคงออกไปเดินเล่นในเมืองตามเก็บที่ที่ยังไม่ได้ไปในโซลแหละ ก่อนนี้เรามีเวลาในโซลแค่หนึ่งวันครึ่ง แล้วก็ไปเที่ยวเจจูต่อ ก่อนจะต้องบินออกไปตามแผนเดิมแล้ว ดังนั้นเวลาสามสี่วันที่ได้เพิ่มมาในโซลบนความซวยก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะ สี่วันที่เพิ่มมาทำให้เราที่เฉยๆ ได้รู้จักโซลมากขึ้นจนได้กลับไปอีกครั้งเลยล่ะ


เราได้แวะไปกวางฮวามุนอีกรอบจากที่แวะไปมาแล้วเร็วๆ ตอนกลางคืนก่อนหน้านี้ เราแวะกลับไปกินคาเฟ่ Mint Heim สวรรค์ของขนมมินต์ต่างๆ ที่ฮงแดอีกรอบด้วย–อันนี้แนะนำจริงๆ สำหรับชาวมินต์ มีเค้กมินต์นูเทลล่า เค้กมินต์โอรีโอ้ เค้กมินต์เอ็มแอนด์เอ็ม มีช็อกมินต์ปั่น และอีกมากมาย สวรรค์รสชาติแบบนี้!

 

"อันนี้คือตอนไปรอบแรก แค่คิดถึงก็น้ำลายจะไหล"


แล้วเราก็ไปเดินชองกเยชอนยาวยาววว ไปดงแดมุนตอนก่อนค่ำ ได้ทั้งวิวสวนกุหลาบ LED ทั้งตอนฟ้าสว่างแล้วก็ฟ้ามืด ไปมิวเซียมฮอปปิ้งประมาณสี่ที่ในหนึ่งวัน (เหตุผลหลักๆ ที่ติดใจโซลเลยเนี่ย) ไปสวนสาธารณะยออีโดริมแม่น้ำฮันที่มีคนมาตั้งเต็นท์กินไก่ทอด–ไกลและออกนอกเส้นทางหลักไปหน่อยแต่ดีมากเลยนะ ขอแนะนำ ไปช้อปปิ้งแบบไม่บันยะบันยังที่มยองดงเพราะถือว่าโรงแรมอยู่ใกล้แค่นี้ ฟาดเคราะห์เงินหาย (ใช้ในความหมายแบบนี้ไม่ได้สินะ...)

 

"พยายามแล้ว รื้อทุกไดรฟ์ที่มี เจอรูปนี้รูปเดียวแหละที่เป็นยออีโดที่ไปปีนั้น"


และที่สำคัญที่สุด เราได้ค้นพบสิ่งที่เรียกว่าจิมดักที่นี่! เป็นประสบการณ์สุดยอดในชีวิตที่จะไม่ยอมแลกกับอะไรทั้งนั้น ยินดีมากๆ ที่จะทำพาสปอร์ตหายเพื่อค้นพบอาหารที่เรียกว่าจิมดัก!

---------------------


ข้อสาม กลับบ้าน


สมมติว่าถ้าวันนั้นไม่ได้กลับออกมาหาพาสปอร์ตด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ก็คือบินกลับบ้านได้เลยตามนั้น ส่วนเรากลับไปสถานทูตอีกทีวันจันทร์ ส่งเอกสารที่ต้องใช้ เข้าไปถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ทำพาสปอร์ตชั่วคราวเป็นกระดาษใบสีขาวพับสามทบติดรูปก็เสร็จเรียบร้อยกลับบ้านได้ ไม่แน่ใจว่าพาสปอร์ตนี้ทำ tax refund ได้ไหมนะ ตอนนั้นไม่ได้ทำ ถ้ามีโอกาสได้ลองทำอีกทีจะมาอัปเดต แต่คิดว่าไม่อยากแล้ว หัวปั่นมาก


เช็กไฟลต์ เช็กของ เอกสารครบพร้อมกลับบ้านหลังจากตะลอนมายี่สิบกว่าวัน


และ อ้อ แน่นอนว่าวิ่งเข้าเกตอีกแล้ว ไม่มีพลาดไฟนอลคอล วิ่งหน้าตั้งไปขึ้นเครื่องเป็นคนสุดท้ายเลย


ตอนขึ้นเครื่องบินแล้วได้ยินเสียงประกาศภาษาไทยก็รู้ตัวว่าคิดถึงประเทศไทยเหมือนกัน ยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมาเปิดประสบการณ์มากจริงๆ และเราอยากกลับบ้านแล้ว แอร์ไฟลต์นั้นก็ใจดีมากด้วยความที่เขาคิดว่าเราเป็นนักเรียนบินกลับบ้านคนเดียว ดูแลใกล้ชิดสนิทเหมือนญาติ น่าจะเป็นไฟลต์เดียวของการบินไทยที่เราติดใจเลย 


เรานั่งอยู่ท้ายเครื่องเพราะเช็กอินช้า นอนยาวกินที่ทั้งสามเบาะแล้วก็หลับไป จนรู้ตัวอีกทีก็ถึงไทยแล้ว 


คิดถึงอาหารไทยที่สุดเลย


---------------------


TL;DR


สิ่งที่ควรทำและของที่ควรพก


- แยกเงินสดและบัตรกดเงินไว้สองที่ จะทิ้งไว้ที่พักหนึ่งไว้กับตัวหนึ่ง หรือแยกร่างที่เก็บกับตัวอีกกลายเป็นสามส่วนก็ได้ เผื่อหายเผื่อโดนล้วงจะได้ยังมีเงินเหลือไว้เดินทางนะ

- มีสำเนาบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตติดตัวไว้เสมอ เราจะมีเป็นกระดาษทิ้งไว้ในกระเป๋าเดินทางหนึ่งชุด แล้วก็มีอยู่ในไดรฟ์พร้อมใช้ด้วย

- พกรูปถ่ายหน้าตรงขนาดสองนิ้วสองใบ ใช่–เป็นของงงมากที่เราพกไว้ทำไมไม่รู้ตอนนั้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้เราก็หนีบรูปถ่ายไปด้วยเสมอเลย


สเต็ปหนึ่งสองสาม


0. ถ้าเป็นไปได้ก็ตั้งสติดีๆ แต่ถ้ายังตั้งสติไม่ทันก็สติแตกก่อนก็ได้...

1. พอตั้งสติได้ก็ไปแจ้งความ

2. ไปสถานทูตหรือสถานกงสุล เขาจะบอกเราเองว่าต้องทำยังไงบ้าง อย่างน้อยให้เขารู้ก่อนว่ามีคนไทยเด๋อๆ ด๋าๆ ทำพาสปอร์ตหายบนแผ่นดินนี้หนึ่งคน

3. จัดการเรื่องตั๋ว เอาให้ชัวร์ก่อนว่าจะได้กลับประมาณวันไหนแล้วค่อยเลื่อนหรือซื้อใหม่

4. มีใบขาวก็กลับบ้านได้แล้วจ้า ตม.อาจจะงงบ้างถ้าไม่เคยเห็น แต่ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ปั๊มให้ออกได้ปกติเลย


---------------------


ป.ล. ใจจริงอยากตั้งชื่อว่า The Discovery of Jjimdak แต่มันก็ผิดประเด็นไปหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณทุกครั้งที่อะไรดลใจไม่รู้ให้เลือกเดินเข้าไปกิน และสาบานจริงๆ ว่าจะไม่ยอมแลกการค้นพบจิมดักนี้กับอะไรทั้งสิ้น พาสปอร์ตหายหรือเงินหายสองแสนวอนก็ช่างมัน ฉันรักจิมดัก ร้านที่ไปกินชื่อ Premium Jjimdak น่าจะมีสาขาอยู่ทั่วเกาหลีล่ะ ตอนไปปูซานก็ไปกินมา อร่อยเหมือนเดิม อย่าลืมสั่งแบบเพิ่มชีสนะ Thank me later <3

Comments

Popular posts from this blog

Tokyo Summer Night คืนหนึ่งคืนนั้นในฤดูร้อน

พกเมอร์ฟีไปเที่ยวลั่วหยาง, Frozen China 2