Paris is a moveable feast บันทึกว่าด้วยการตกหลุมรักปารีสในห้าวันหรือน้อยกว่า
ปารีสเป็นเมืองน่ารัก
ก่อนที่จะไป เราได้ยินเกี่ยวกับปารีสมาหลายอย่าง ทั้งจากผู้คน จากเพลง ได้เห็นเกี่ยวกับปารีสมาหลายที ทั้งจากภาพถ่าย ภาพวาด ภาพยนตร์ และได้อ่านเกี่ยวกับปารีสมาไม่น้อย
ปารีสโรแมนติก ปารีสที่เต็มไปด้วยศิลปะ ปารีสฉากหลังของภาพยนตร์และหนังสือ หรือปารีสสกปรก ปารีสเต็มไปด้วยโจร ปารีสน่ากลัว
สำหรับเราแล้ว ปารีสเป็นเมืองน่ารัก
——————————————
ภาพปารีสในหัวของเราคือเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างอย่างยุโรป มองไปทางไหนก็สวยไปหมด แต่น่ากลัว โจรชุกชุม ระวังกระเป๋าเอาไว้ให้ดีๆ และภาพปารีสที่เราเคยเห็นคือปารีสจาก Paris, Je T'aime, Midnight in Paris และ Before Sunset ซึ่งทั้งหมดนั้นคือปารีสที่สวยหมดจด ปารีสที่ชวนตกหลุมรัก ปารีสที่ทำให้คนตกหลุมรักกัน — เป็นปารีสโรแมนติก
แต่หนังก็คือหนัง จะถ่ายทำที่ไหนๆ ก็สวยไปหมดอยู่แล้ว และแต่เริ่มเดิมที เราก็ตั้งใจแวะไปปารีสแค่เพราะมีเพื่อนอยู่ ไม่ได้กระตือรือร้นจะไปเที่ยวปารีส ไม่ได้มีแผนเที่ยวอะไรเลย ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรทั้งสิ้น
——————————————
สิ่งแรกที่ทักทายเรา (นอกจากเพื่อนคนไทยที่ยืนโบกมือผ่านกระจกตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบกระเป๋าออกจากสายพานแล้วผ่านประตูออกมา) คือหนุ่มปารีเซียงที่สถานีรถไฟใต้ดิน มองซิเออร์คงจะเห็นเอเชียนสองคนดูเด๋อๆ (เราคนเดียวก็ได้) กับกระเป๋าเดินทางใบเบ้อเริ่มเทิ่มสองใบ (ของเราคนเดียว) ยืนดูสายรถไฟอยู่ (เพื่อนดู เราไม่รู้หรอกว่าบ้านเพื่อนอยู่สถานีอะไร) ก็เลยเดินตรงมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เพื่อนเราตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศสไม่รู้ว่าพูดอะไรแล้วก็แยกย้ายกันไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
คนปารีสก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย
หลังจากนั่งเมโทรไปจนถึงสถานีบ้านเพื่อนแล้ว ปารีสก็เผยตัวออกมาอีกนิดให้เราได้รู้จัก
สถานีรถไฟใต้ดินที่ปารีสไม่มีบันไดเลื่อน
โอเค...เรียกว่าไม่ได้มีทุกสถานี และส่วนมากจะไม่มี
ตอนนั้นเก็บเอาไปคิดอยู่นานมากว่าถ้าไปคนเดียวจะเอากระเป๋าขึ้นท่าไหนดีนะ เมืองนี่โจรชุมซะด้วย แบกไปทีละใบจะโดนตบกระเป๋าอีกใบไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า
โชคดีแหละที่เพื่อนไปรับ
สิ่งที่สามเกี่ยวกับปารีสที่เราได้รู้จักคือตอนที่โดนลากให้ไปพิพิธภัณฑ์ไหนสักที่ (สักที่ที่ว่าคือ Musee d'Orsay — พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใช้อาคารปรับปรุงมาจากสถานีรถไฟเก่า เดินราวๆ สองชั่วโมงน่าจะทั่ว แต่ตอนนั้นเราได้เดินแค่ชั่วโมงเดียว งานดังของแวน โก๊ะห์กับเรอนัวร์ก็อยู่ที่นี่ ถ้าได้ไปปารีสก็ห้ามพลาดที่นี่เลยนะ) ระหว่างทางนั่นแหละที่เราปะทะกับควันบุหรี่ตลอดทั้งทาง ควันบุหรี่อยู่ทุกที่สาธารณะ ควันบุหรี่เยอะมากชนิดที่ถ้าอยู่ที่นี่เป็นปีอาจจะเป็นมะเร็งปอดตายก็ได้ หรือว่าชาวปารีสเขามีปอดที่ฟอกดีเป็นพิเศษกันนะ
แต่สำหรับปารีสที่ไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก ปารีสที่สนับสนุนให้คุณเดินขึ้นลงบันได ปารีสเมืองควันคลุ้ง อันที่จริงก็ถือว่าเหนือความคาดหมายที่ไม่ได้คาดไว้
"ถ้ามีโอกาสได้แวะไปก็อย่าพลาดที่นี่นะ" |
——————————————
คืนแรกที่เราไปถึง อาหารเย็นมื้อแรกคือริซอตโตเห็ดรวมมิตรฝีมือเพื่อน จะเรียกว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสมื้อแรกก็คงได้ หรือเรียกว่าเป็นอาหารที่กินในฝรั่งเศสเป็นมื้อแรกแล้วกัน
"อันนี้ตอนลงไปซื้อเห็ด" |
"เพื่อนทำเห็ดให้กิน ใจจริงอยากกินเนื้อ แต่กินฟรีเลยไม่ได้พูดอะไร (จริงๆ เป็นเห็ดก็อร่อยดีนะ)" |
ถัดจากนั้น พอพูดถึงปารีส ก็ต้องพูดถึงแม่น้ำแซน แม่น้ำแซนใน Before Sunset ที่ Celine กับ Jesse ล่องเรือทัวร์ไปคุยกันไปสายเดียวกันนี่แหละ
กินข้าวเสร็จ เราก็เดินกันราวสามสิบนาทีจากบ้านไปริมแม่น้ำ ผ่านถนนเงียบเชียบ ปารีสตอนดึกไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่ ผ่านตึกรูปทรงอย่างยุโรปที่สูงไล่ๆ กันไปหมด ผ่าน City Hall ผ่านลูฟร์และพีระมิดกระจก ข้ามสะพาน Pont des Arts ไปยืนอยู่เหนือแม่น้ำแซนยามค่ำคืน
อากาศหนาวราวสิบต้นๆ เรามีแค่เสื้อถักบางเฉียบกับโค้ตบางอีกหนึ่งตัวเพราะตอนจัดกระเป๋าโดนหลอกมาว่าอากาศอุ่นแล้ว เอาโค้ตบางๆ มาตัวเดียวก็พอ—แล้วก็ไม่พอ
อากาศหนาวเป็นบ้า และริมน้ำก็ลมแรงเป็นธรรมดา บนสะพานเดินเท้าพื้นไม้ มองตรงไปเห็นสะพานทอดไปยังอาคารโดมโอ่อ่าอย่างยุโรปใต้แสงไฟตอนกลางคืน หันหลังกลับไปมอง สะพานก็ทอดไปเห็นตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์กินบริเวณไปซ้ายขวาสุดมุมสองถนน
มีเสียงกลุ่มวัยรุ่นเปิดเพลงมาดื่มกันอยู่ริมน้ำและพูดคุยกันภาษาฝรั่งเศสที่ฟังไม่เข้าใจ และมีเป็ดว่ายอยู่ในแม่น้ำหนาวๆ ทำให้เมืองดูเป็นกันเองมากขึ้นอีกนิด
เสียงแม่น้ำ เสียงลมพัด คลอเสียงพูดคุย บนสะพาน อากาศเย็นเกินไปนิดหน่อย ใต้แสงไฟยามกลางคืน เห็นตึกสวยอยู่สองฝั่งน้ำ
ทุกองค์ประกอบคือความโรแมนติก
ปารีสโรแมนติกจริงๆ
——————————————
ถ้าวันก่อนๆ เหมือนการเรียนรู้ใครสักคนทีละนิด ทีละมุม ทีละชั้น แบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป มันก็จะมีอยู่หนึ่งวัน ที่เหมือนเดินอยู่อย่างปกติ แล้วรู้ตัวอีกทีก็เดินลาดลงหลุม ชอบเมืองนี้เข้าแบบถอยกลับไม่ทันแล้ว
วันนั้นเป็นวันที่เท่าไหร่ในจำนวนห้าวันก็ไม่รู้ อากาศเย็นอย่างทุกวัน แต่เพื่อนก็ยังพาไปกินไอศกรีมที่บอกว่าเป็นร้านดังของปารีสที่ตั้งอยู่บนถนนเล็กๆ ค่อนข้างเงียบ ทั้งที่จำได้ว่าไม่ไกลจากริมน้ำเท่าไหร่ แต่ไอศกรีมอร่อยดี — หนาวไปหน่อยแต่อร่อยดี
เพื่อนพาเราเดินกลับไปริมแม่น้ำอีกรอบในตอนกลางวัน ผ่านย่าน Le Marais เรียงรายด้วยอาคารและร้านค้าหน้าตาให้กลิ่นเหมือนย้อนยุคนิดๆ ถนนกว้างราวหนึ่งเลนแค่พอให้รถคันเล็กสมัยก่อนขับผ่านได้ พื้นปูด้วยหิน สวยอย่างที่ตอนเด็กๆ เคยฝันว่าถนนและร้านค้าในยุโรปจะต้องสวยแบบนี้ สวยกว่าที่เคยเห็นในหนังเสียอีก
ข้ามน้ำไปคือ Notre Dame บนเกาะกลางแม่น้ำ คราวนี้ไม่ได้ข้ามสะพานเดิม แต่เป็นสะพานคอนกรีตหน้าตาธรรมดาที่คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะเพื่อจะไปชมมหาวิหาร ตรงกลางมีวงดนตรีสตรีตแจ๊สเปิดหมวก (หรือให้ถูกต้องก็คือเปิดกระเป๋ากีตาร์) สี่ชิ้นกำลังเล่นอยู่
เราจำได้ว่าเป็นตอนนั้นที่เราตกหลุมรักปารีสเข้าอย่างจัง เหมือนไถลลงหลุมหลังจากเดินช้าๆ ระมัดระวังมาหลายวัน
"Head over heels." |
เสียงเครื่องดนตรีเล่นเพลงแจ๊สพร่านิดๆ ดังเข้าหู เห็นตึกรามบ้านช่องและสะพานเรียงตัวทอดไปตามแม่น้ำ อากาศเย็นแต่อุ่นแดดแค่ชวนให้ห่มตัวในเสื้อโค้ตบางสักตัวแล้วเดินลัดเลาะไปตามเมือง บรรยากาศเหมือนตัวเราเป็นภาพยนตร์สักเรื่อง มีฉากหลังเป็นเมืองปารีส มีเสียงดนตรีแจ๊สประกอบ แสงแดดอ่อนสะท้อนตึกและผิวน้ำระยิบระยับ เหมือนทุกสัมผัสได้รับรู้ถึงความงามของปารีสพร้อมๆ กัน
รู้ตัวอีกทีก็ตกหลุมรักปารีสเข้าไปแล้ว
——————————————
เราเจอคนบ้าที่ปารีส
วันนั้นเป็นวันที่เราเที่ยวคนเดียว แผนคือมิวเซียมฮอปปิ้งทั้งวัน เราก็ฮอปตามแผนไปเรื่อยจนมาต่อแถวรอเข้าปอมปิดู แถวยาวและต่อนานมาก เพราะต้องถอดกระเป๋าของเล็กของน้อยออกผ่านเครื่องตรวจทีละคน เราก็ยืนต่อปลายแถวไปกับเขาเรื่อยๆ จนมีคนมาต่อท้าย
เขามาถึงแล้วก็พูดเสียงดังเหมือนตะโกนคุยกับใครอยู่ แต่เป็นภาษาฝรั่งเศสไง ฟังไม่รู้เรื่องเลยทำเป็นไม่สนใจความเสียมารยาทนั้น เดาเอาว่าคงคุยกับหูฟังไร้สายอยู่มั้ง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็ยังตะโกนด่าอากาศอยู่ ตอนนี้ก็รู้แล้วแหละว่าเป็นคนบ้า
คนฝรั่งเศสทุกคนแถวนั้นก็คือ don't give a damn ทุกคนทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน บางคนเหลือบมองเขาแล้วเผื่อแผ่สายตาอยากรู้อยากเห็นมาทางเราด้วย เนื่องด้วยเรายืนอยู่ใกล้ที่สุด
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็ยังไม่หยุด แถมหัวเราะฟังดูน่ากลัวอีกต่างหาก เราคิดว่าจะย้ายไปต่อแถวอื่น แต่ต่อมาตั้งหนึ่งชั่วโมงแล้วก็เลยยืนที่เดิมทำเป็นไม่สนใจต่อไป
ยืนต่อแถวอยู่ที่เดิมเกือบสองชั่วโมงได้กว่าจะได้เข้าตึก เกือบโล่งใจแล้ว จนจังหวะที่เราเดินเข้าไปตรงประตูตรวจโลหะ เขาดันเดินตามเรามาติดๆ ทั้งที่มันผ่านได้ทีละคน ใจเต้นระทึกมากว่าเขาจะหยิบมีดมาแทงเราไหม ถ้าเราตายไปที่นี่จะมีใครรู้รึเปล่า เราทำประกันเดินทางไว้แล้วน่าจะจัดการไม่ยากมาก คิดไปสารพัด แต่สุดท้ายพอเข้าตึกเขาก็เดินตามอีกพักเดียวแล้วก็เดินไปทางอื่น
เราพิมพ์ไปหาเพื่อนเล่าเรื่องนี้ฟัง บอกว่าน่ากลัวมาก เพื่อนเราบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก ไม่น่ากลัวสักหน่อย
ที่ไหนล่ะ!
ปารีสนี่น่ากลัวมากเลย (โว้ย!)
——————————————
มีอีกหนึ่งเรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในปารีสที่เราไม่ทันได้นึกถึงในแวบแรกที่นึกย้อนไปถึงตอนนั้น เป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญจนลืมนึกถึงไปตอนแรกเริ่ม แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องน่ารักที่มีความปารีเซียงมากๆ ที่เราได้มีส่วนร่วม
ช่วงที่เราไปปารีสไปตรงกับเทศกาลที่เรียกว่า Nuit Blanche (White Night) พอดี เป็นงานหนึ่งคืนยาวไปจนถึงเช้าของชาวปารีส เราไม่ค่อยแน่ใจว่าเทศกาลนี้มีอะไรบ้าง เท่าที่รู้ก็คือล่องเรือฟรีได้ เหมือนว่ามิวเซียมต่างๆ จะเปิดทั้งคืน และดาดฟ้าของตึกอะไรสักอย่างก็เปิดให้ขึ้นชมเช่นกัน
สุดท้ายแล้วเรา—อันประกอบไปด้วยเรา เพื่อนเรา เพื่อนของเพื่อนเรา และเพื่อนๆ ของเพื่อนของเพื่อนเรา มีเราเป็นคนไทยงงๆ หนึ่งคน เพื่อนนักเรียนฝรั่งเศสหนึ่งคน และชาวฝรั่งเศสอีกสี่คน—ก็ไปยืนหนาวรอหน้าตึกสูงนั้น
มันเป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญเพราะเราแค่ไปยืนต่อแถวอยู่หน้าตึกรอคิวกับชาวปารีสอีกเป็นร้อยเป็นพันคน ยืนรอเป็นชั่วโมงแล้วก็ไม่ได้เข้า ทั้งหนาว ทั้งปวดฉี่ แต่ก็ได้หนาวและปวดฉี่ร่วมกับชาวปารีสในเทศกาลประจำปีของเขา เหมือนได้เห็นปารีสในแบบที่ชาวปารีสเห็นในวันเทศกาลวันหนึ่งของเขา
พอได้กลับมานึกถึงตอนไม่ปวดฉี่แล้วก็รู้สึกว่าน่ารักดี
ก็เหมือนกับทุกที่ที่มีข้อดีและข้อเสีย ปารีสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ช่วงที่เราไปปารีสไปตรงกับเทศกาลที่เรียกว่า Nuit Blanche (White Night) พอดี เป็นงานหนึ่งคืนยาวไปจนถึงเช้าของชาวปารีส เราไม่ค่อยแน่ใจว่าเทศกาลนี้มีอะไรบ้าง เท่าที่รู้ก็คือล่องเรือฟรีได้ เหมือนว่ามิวเซียมต่างๆ จะเปิดทั้งคืน และดาดฟ้าของตึกอะไรสักอย่างก็เปิดให้ขึ้นชมเช่นกัน
สุดท้ายแล้วเรา—อันประกอบไปด้วยเรา เพื่อนเรา เพื่อนของเพื่อนเรา และเพื่อนๆ ของเพื่อนของเพื่อนเรา มีเราเป็นคนไทยงงๆ หนึ่งคน เพื่อนนักเรียนฝรั่งเศสหนึ่งคน และชาวฝรั่งเศสอีกสี่คน—ก็ไปยืนหนาวรอหน้าตึกสูงนั้น
มันเป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญเพราะเราแค่ไปยืนต่อแถวอยู่หน้าตึกรอคิวกับชาวปารีสอีกเป็นร้อยเป็นพันคน ยืนรอเป็นชั่วโมงแล้วก็ไม่ได้เข้า ทั้งหนาว ทั้งปวดฉี่ แต่ก็ได้หนาวและปวดฉี่ร่วมกับชาวปารีสในเทศกาลประจำปีของเขา เหมือนได้เห็นปารีสในแบบที่ชาวปารีสเห็นในวันเทศกาลวันหนึ่งของเขา
พอได้กลับมานึกถึงตอนไม่ปวดฉี่แล้วก็รู้สึกว่าน่ารักดี
——————————————
ก็เหมือนกับทุกที่ที่มีข้อดีและข้อเสีย ปารีสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ปารีสสวย แต่ในความสวยของเมืองนั้นก็คลุ้งควันบุหรี่ และถ้ามองลงไปก็จะเห็นก้นบุหรี่เกลื่อนทางเท้า คนที่ปารีสก็ไม่ได้ดีไม่ได้แย่กว่าคนที่ไหนๆ เป็นพิเศษ รสชาติอาหารที่ปารีสหลังจากกินอาหารตะวันตกมาแล้วสองสัปดาห์ ถึงจะโทษเมืองนี้ไม่ได้ แต่จะให้เรียกว่าอร่อยเลิศก็ไม่ได้ (ยกเว้นพุดดิ้งช็อกโกแลตที่ซูเปอร์ อันนั้นอร่อยมาก)
ปารีสสวยอย่างที่ในภาพและหนังสือวาดไว้จริงๆ แต่ก็มีข้อเสียอย่างที่คนว่าเอาไว้เช่นกัน
แต่ปารีสที่เราชอบไม่ใช่ปารีสในหนังที่เราดู ไม่ใช่ปารีสที่เป็นฉากหลังสวยๆ ของเรื่องราวไหนๆ
ปารีสที่เราชอบคือปารีสที่เราเดินไปแล้วเจอสตรีตแจ๊ส คือปารีสที่เราได้รู้จักสถานีรถไฟใต้ดินสถานีแรกของเมือง คือปารีสที่เจ้าหน้าที่หอไอเฟลช่วยเร่งและช่วยลุ้นเราให้รีบขึ้นไปทันก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเป็นภาษาฝรั่งเศส คือปารีสที่รถไฟบางสายต้องดึงคันโยกเปิดประตูเพื่อลงเอง คือปารีสที่เราดึงโพยออกมาดูแล้วมีสุสานอยู่ในรายการสถานที่ที่น่าแวะไป คือปารีสที่เราได้ไปที่ไหนไม่รู้ที่มีวัยรุ่นเยอะแยะ เพื่อกินเบอร์เกอร์ไม่อร่อย เพื่อดื่มเบียร์เพราะกินไวน์ไม่ได้ แบบงงๆ แต่ก็สนุกดี คือปารีสที่มีชีวิตชีวาเป็นของตัวเองมากไปกว่าเมืองแห่งความรัก
คือปารีสที่เราโชคดีได้มองผ่านสายตาของคนที่หลงรักปารีส
และก็เป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปแบบนั้น ที่เราจะตกหลุมรักเมืองนี้ตามไปด้วย
"ลูฟร์ตอนกลางคืน สองปีที่แล้วยังถ่ายรูปไม่เป็น ก็ได้เท่านี้แหละนะ" |
"Trying to catch the last light of the day." |
"โพย" |
——————————————
ป.ล. อันที่จริงคือเราเป็นคนดวงซวยพาอากาศผิดปกติไปทุกที่ ก่อนเราไปปารีสอากาศก็อุ่นขึ้นจริงๆ นั่นแหละ แต่พอเราไปถึงก็หนาวเฉยเลย อีกครั้งคือไปญี่ปุ่นรอบล่าสุด ที่พอเราแลนด์ปุ๊บ อากาศกลางเมษาก็หนาวลงปั๊บ แถมพายุเข้าฝนตกอีกเฉยเลย
——————————————
I quoted Ernest Hemingway's A Moveable Feast: "If you are lucky enough to have lived in Paris as a young man then wherever you go for the rest of your life, it stays with you, for Paris is a moveable feast."
——————————————
Comments
Post a Comment