Posts

เรื่องเล่าตอนทำพาสปอร์ตหาย และฮาวทูทำยังไงดี Missing Passport and How To Find It (Hint: you don’t)

Image
เราทำพาสปอร์ตหายที่โซล อนึ่ง เท้าความก่อนว่านี่คือทริปลากยาวทริปเดียวกับทริปญี่ปุ่นที่พายุเข้าตอนก่อนนู้นเมื่อปี 2016 ดังนั้นจะว่าทริปนี้อาถรรพ์คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี เอาเป็นว่า เราทำพาสปอร์ตหายที่โซล (สาระอยู่ล่างสุด) --------------------- ข้อหนึ่ง แจ้งความ! ถ้าจะให้เล่าความเป็นมาเราก็จะเขินนิดนึง เลยขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด แต่เหตุการณ์นี้ให้ข้อคิดเราหนึ่งข้อ นั่นก็คือ โซจูสามขวดไม่ใช่เรื่องตลก และจบการย้อนอดีตเพียงเท่านี้ ตัดภาพมาอีกทีเป็นตอนพาสปอร์ตหายเลยแล้วกัน ตื่นเช้ามาเรามีไฟลต์บินไปปักกิ่งต่อ ตะลีตะลานรวบของพร้อมไปสนามบิน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่จัดไว้หมดแล้วเตรียมออกเดินทาง เราก็ควานๆ คว้าๆ หยิบจับหยิบนับของที่ต้องใช้ โทรศัพท์–เช็ก กระเป๋าสตางค์ใบหลัก–ยังอยู่เพราะไม่ได้พกไป กระเป๋าสตางค์ใบเล็กแยก–เอ๊ะ... พาสปอร์ต—เอ๊ะ... เอ๊ะ ใช้เวลาประมาณสิบนาที วิ่งวุ่นทั่วห้อง คุ้ยกระเป๋าซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าความจริงจะซึมซาบเข้าทั่วตัว ว่าพาสปอร์ตหายแล้วแหละ ตอนนั้นน่าจะมีเวลาตามหาราวๆ สี่ถึงห้าชั่วโมงถ้ายังมีหวังจะบินไปเที่ยว (เป็นความหวังที่เราในตอนนี้อยากโบกหัวสักที ติดเที่ยวมาก ยังจะหวัง!)

เรื่องสั้น - นิทานแกะดำ

ในทุกกาลครั้งหนึ่ง หากมองเข้าไปในฝูงแกะ คงจะพบแกะสีดำโดดเด่น ท่ามกลางหมู่แกะสีขาว—ขาวมาก ขาวเสียจนขับให้แกะสีดำยิ่งดำกว่าเดิม แกะดำคงรู้สึกแปลกแยก เมื่อสุนัขต้อนแกะเข้ามาทำหน้าที่ มันจึงทำเมินเสีย ไม่ใส่ใจเขี้ยวขาวที่แยกขู่นั่น แล้วเริ่มหันหลังเดินจากมา วันหนึ่ง แกะดำพบอีกา อีกาตัวสีดำ—สีดำเหมือนแกะดำ แกะดำเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหา มันคงหมายจะทักทาย แต่อีกาใช้ตาดำวาวมองอยู่เพียงครู่แล้วกรีดปีกโผบินหนีไป แกะดำอยากจะตามไป ด้วยเห็นว่ามีขนสีดำเหมือนกัน แต่อีกาโผบิน และแกะไม่มีปีก แกะดำพบความแตกต่างของตนเองกับอีกา จึงเดินต่อไป ไม่นานนัก เมื่อแกะดำเดินเฉียดลำน้ำ แกะดำพบฝูงม้า—ม้าหลากสีนัก ทั้งขาว ทั้งน้ำตาล ทั้งดำ ปะปนทั่วทั้งฝูง อีกทั้งม้านั้นมีสี่ขา สี่ขาเหมือนแกะ แกะดำก้าวเท้าเข้าไปหาเมื่อฝูงม้าหมดกระหาย เงยหน้าจากลำธาร และเห็นแกะตัวหนึ่ง ม้ามองอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ในใจอาจสงสัย ว่าแกะมาทำอะไร แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพียงแต่เดินเบี่ยงออกมาจากแนวธาร และออกวิ่ง เพราะมีสี่ขาเหมือนกันแกะดำจึงออกวิ่งตาม แต่แกะดำวิ่งตามม้าไม่ทัน วิ่งให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นอย่างม้า และคงไม่ใช่ความผิดม้าที่วิ่

Paris is a moveable feast บันทึกว่าด้วยการตกหลุมรักปารีสในห้าวันหรือน้อยกว่า

Image
ปารีสเป็นเมืองน่ารัก ก่อนที่จะไป เราได้ยินเกี่ยวกับปารีสมาหลายอย่าง ทั้งจากผู้คน จากเพลง ได้เห็นเกี่ยวกับปารีสมาหลายที ทั้งจากภาพถ่าย ภาพวาด ภาพยนตร์ และได้อ่านเกี่ยวกับปารีสมาไม่น้อย ปารีสโรแมนติก ปารีสที่เต็มไปด้วยศิลปะ ปารีสฉากหลังของภาพยนตร์และหนังสือ หรือปารีสสกปรก ปารีสเต็มไปด้วยโจร ปารีสน่ากลัว สำหรับเราแล้ว ปารีสเป็นเมืองน่ารัก —————————————— ภาพปารีสในหัวของเราคือเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างอย่างยุโรป มองไปทางไหนก็สวยไปหมด แต่น่ากลัว โจรชุกชุม ระวังกระเป๋าเอาไว้ให้ดีๆ และภาพปารีสที่เราเคยเห็นคือปารีสจาก Paris, Je T'aime , Midnight in Paris   และ Before Sunset  ซึ่งทั้งหมดนั้นคือปารีสที่สวยหมดจด ปารีสที่ชวนตกหลุมรัก ปารีสที่ทำให้คนตกหลุมรักกัน — เป็นปารีสโรแมนติก แต่หนังก็คือหนัง จะถ่ายทำที่ไหนๆ ก็สวยไปหมดอยู่แล้ว และแต่เริ่มเดิมที เราก็ตั้งใจแวะไปปารีสแค่เพราะมีเพื่อนอยู่ ไม่ได้กระตือรือร้นจะไปเที่ยวปารีส ไม่ได้มีแผนเที่ยวอะไรเลย ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรทั้งสิ้น —————————————— สิ่งแรกที่ทักทายเรา   (นอกจากเพื่อนคนไ

พกเมอร์ฟีไปเที่ยวลั่วหยาง, Frozen China 2

Image
ครั้งแรกที่เราเห็นหิมะตกกับตาคือตอนที่กำลังนั่งรถไฟความเร็วสูงไปลั่วหยาง และครั้งแรกที่เราติดหิมะอยู่ในรถไฟก็คือตอนที่กำลังไปลั่วหยาง ลั่วหยางเป็นเมืองหลวงเก่าของจีน อยู่ทางใต้กว่าปักกิ่ง และเป็นเมืองที่มีวัดเส้าหลิน นี่คือสามสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเมืองก่อนจะลากกระเป๋าขึ้นรถไฟไปลั่วหยาง ตามแผน (ของเพื่อน) แล้ว เราควรจะมีเวลาที่ลั่วหยางรวมแล้วราว 48 ชั่วโมง คือนั่งรถไฟความเร็วสูงไปจากปักกิ่งแต่เช้า ถึงที่นู่นในตอนบ่าย ว่างพอจะไปสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งแห่ง วันที่สองเต็มวัน และวันที่สามช่วงเช้าอาจจะไปได้อีกหนึ่งแห่ง จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับไปปักกิ่ง จบบริบูรณ์อย่างมีความสุข กฎของเมอร์ฟีว่าเอาไว้ว่า Anything that can go wrong, will go wrong ลั่วหยางอยู่ทางใต้กว่าปักกิ่ง และไม่ได้อยู่บนพื้นที่สูงกว่าปักกิ่ง ไม่ใช่เมืองธรรมชาติจ๋าชนิดที่อุณหภูมิต่ำกว่าเมืองใหญ่ตลอดปี ในเมื่อปักกิ่งยังคงอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็งเอาไว้ได้และพยากรณ์อากาศก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะมีหิมะ ใครจะไปคิดว่าระหว่างทางลงใต้อากาศก็ดันนึกครึ้มส่งหิมะตกลงมาซะนี่ หิมะเฉยๆ คงยังยืนยันกฎของเมอร์ฟีได้ไม่ถึงใจ ผิดพลาดไปให้ถึงท

เราชอบปักกิ่งนะ, Frozen China 1

Image
เราชอบปักกิ่ง และเราชอบเมืองจีน เก้าในสิบคนตกใจว่าเราชอบอะไรปักกิ่ง อีกหนึ่งคนเฉยๆ – อาจจะไม่ทันฟัง อาจจะเกี่ยวด้วยที่ว่าเรามีเพื่อนที่เรียนอยู่ปักกิ่งพาเที่ยวซะปรุเลย แต่ตอนที่เที่ยวคนเดียวบางวัน เราก็ยังคงชอบปักกิ่งอยู่ดี ปักกิ่งมีความดิบในตัวคน ความดิบในตัวเมือง และความดิบในวิถีของผู้คน ถ้าจะพูดถึงปักกิ่ง สิ่งแรกที่เรานึกถึงตอนนี้คือความดิบของปักกิ่ง สำหรับคนที่เที่ยวเอเชียแถบนั้นมาหลายประเทศแล้ว คนปักกิ่งติดอันดับความเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเมืองใหญ่ แต่ปักกิ่งเหนือกว่าไปอีกขั้นโดยการมองเมินโดยสิ้นเชิง เราเคยคิดขำๆ ว่าเทียบกับตอนอยู่ไต้หวันที่เรายืนงงหน้าตู้ไปรษณีย์แล้วมีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ถ้าเป็นที่ปักกิ่ง ต่อให้เรายืนงงทั้งวันก็ไม่มีใครเข้ามาถามแน่ๆ (ฮา) การที่เราโดนเมินจากคนปักกิ่งไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบ ความจริงแล้วตรงนั้นแหละที่ทำให้เราชอบปักกิ่ง ทุกคนไม่ใส่ใจใคร เราสามารถกลมกลืนไปกับผู้คนได้อย่างเต็มที่ เราไม่ใช่คนแปลกถิ่นที่ทุกคนรอบตัวดูออกว่ากำลังงุนงงและหลงทาง คนปักกิ่งมีทั้งคนเมืองที่ก้าวฉับๆ เดินเร็วแข่งกับเวลา เดินช้าไม่รีบร

Tokyo Summer Night คืนหนึ่งคืนนั้นในฤดูร้อน

Image
Tokyo summer night by the river เฟซบุ๊กมีฟังก์ชันรื้อความทรงจำรายปีมาให้เราคิดถึงเล่นๆ ทุกครั้งก็คิดถึงตามจริงๆ แต่หลายครั้งก็ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องราวในรูปพวกนั้นผ่านไปเป็นปีแล้ว วันนี้ ตอนนี้ เรานั่งอยู่หน้าคอมในประเทศไทย ทำงานต๊อกแต๊กไปตามเรื่องตามราว อยู่ในเขตปลอดภัยของชีวิต อาจจะทำงานหนักหน่อย ไม่ได้สุขที่สุดในโลก แต่ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้กดดัน วันนี้ ปีที่แล้ว เราใช้เวลาหกชั่วโมงอยู่บนเครื่องบิน เป็นการบินเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต แลนดิ้งตอนเกือบหกโมงเย็นวันจันทร์เวลาญี่ปุ่น ไต้ฝุ่นเข้า รถไฟหยุดให้บริการ อีเมลเข้ามาเพื่อบอกว่า “คืนนี้หาที่นอนในโตเกียวไปก่อนนะ” เราอยู่ตัวคนเดียว กับกระเป๋าเดินทางสองใบ ความวุ่นวายในสนามบิน และป้ายภาษาญี่ปุ่นหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟเข้าเมืองที่เราถ่ายรูปไปให้รุ่นพี่อ่านและแปลมาให้ ถึงได้รู้ว่ารถไฟหยุดให้บริการอยู่ ความจริงแล้วตามแผนก็คือในวันอาทิตย์เราจะต้องรีบตรงไปจากกองถ่ายแถวนครปฐม ขึ้นเครื่องบินตอนสี่ทุ่ม และควรถึงโตเกียวตอนหกโมงเช้า จับรถไฟชินคังเซนไปถึงเมืองนากาโอกะตอนสักสิบโมง น่าจะไปทันเวลาก่อนพิธีเริ่มแบบเฉียดฉิว แต่คืนนั้นไต้ฝุ่นเข้า

รีวิวคอนเสิร์ตเกาหลีครั้งแรกในชีวิต: ฉัน บัตรฟรี และจีดรากอน

Image
อันที่จริงเราคิดจะเปิดบล็อกตั้งนานแล้ว หลักๆ คือเอาไว้พูดถึงหนังสือที่เราอ่าน หรือความคิดอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แต่ก็ผัดออกไปทุกทีสิน่า... (ก็เป็นคนแบบนี้แหละ) แต่ได้ฤกษ์คราวนี้เพราะไปสัญญาใจกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะเขียนรีวิวคอนเสิร์ตที่เพื่อนชวนเราไปดูฟรี เป็นพวกแพ้คำสัญญาก็ว่า... ดังนั้นก็ขอประเดิมบล็อกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิตด้วยการรีวิวคอนเสิร์ตเกาหลีนี่แหละ! --------------------------- เรามีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่ชื่อคุ้นหูหน้าคุ้นตาแบบฟรีๆ วันนั้นฝนพรำแบบไม่ควรเดินทางไปไกลถึงเมืองทอง เปลี่ยนใจไปมาอยู่สองที สุดท้ายก็เก็บของนั่งรถเดินทางไปถึงคอนเสิร์ตแบบทันเวลาเฉียดฉิว (อันที่จริงก็เลยเวลาเริ่มคอนเสิร์ตไปแล้วเกือบชั่วโมง แต่ศิลปินยังไม่ขึ้นแสดง ในทางปฏิบัติแล้วถือว่าทันเนอะ) ตั้งแต่รู้ข่าวจนกระทั่งเข้าไปนั่งในคอนเสิร์ต เราคิดมาตลอดว่าเรากำลังจะดูคอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘จีดรากอน’ แห่งวงบิ๊กแบง และคิดอย่างนั้นไปตลอดคอนเสิร์ตจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงต่อระหว่างองก์ที่สองและองก์ที่สาม เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเรากำลังดูคอนเสิร์ตของควอนจียงอยู่ เท้าความก่อนว่า